โรคข้อเสื่อม หมายถึงโรคของข้อที่เกิดกับกระดูกอ่อน (cartilage) และเยื่อหุ้มข้อ ทำให้มีการสร้างเนื้อเยื่อจำนวนมาก โดยมากจะเกิดบริเวณข้อนิ้ว ข้อมือ ข้อกระดูกต้นคอ ข้อกระดูกหลัง
ปกติข้อของคน จะมีกระดูกอ่อนหุ้มอยู่ปลายกระดูก ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อราบรื่น กระดูกอ่อนสามารถรับแรงกระแทกจากกระดูก ผู้ที่เกิดกระดูกเสื่อม จะมีกระดูกอ่อนที่หุ้มข้อสึกและบางลง ทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูก เมื่อเวลาเคลื่อนไหว จะเกิดอาการ ปวด บวม แดง ร้อน เมื่อเวลาผ่านไป จะมีการงอกของหินปูนเข้าไปในข้อ และมีเศษกระดูกลอยในข้อ ทำให้เกิดอาการปวดข้อ และเคลื่อนไหวลำบาก
โรคข้อเสื่อมจะพบมากในผู้สูงอายุในช่วง 50-60 ปี และพบว่าเพศหญิงมีโอกาสเกิดโรคนี้มากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า รวมถึงการแสดงอาการมักพบมีอาการที่รุนแรงกว่า อาการที่เป็นลักษณะเด่นของโรคนี้ คือ อาการข้อฝืดในตอนเช้า ปวดตามข้อ การเคลื่อนไหวของข้อไม่เต็มที่ และมักมีเสียงดังกรอบแกรบภายในข้อขณะเคลื่อนไหว
ศูนย์ดูแลโรคเข่าเสื่อม เก็าส์ กระดูกทับเส้นประสาท
⚓
จะทราบได้อย่างไรว่าท่านเป็นข้อเสื่อม
เนื่องจากโรคนี้จะมีอาการค่อยเป็นโดยที่ผู้ที่ป่วยไม่ทราบ ข้อที่เสื่อมสามารถเป็นได้ทุกข้อ อาการจะเริ่มต้นด้วยอาการปวดโดยมากมักจะปวดตอนเช้า ออกกำลังกายแล้วหาย หากเป็นมากขึ้นการออกกำลังกายจะทำให้ปวดมากขึ้น ข้อขยับได้น้อยลง เวลาขยับข้อจะเกิดเสี่ยงกระดูกเสียดสีกัน หลังจากนั้นข้อจะโตขึ้น เนื่องจากมีการสะสมของกระดูกอ่อน เอ็น และเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อรอบข้ออ่อนแรง เวลาเดินจะทำให้ปวดมากขึ้น
ข้อที่เป็นบ่อยได้แก่ ข้อนิ้ว ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อสะโพก ข้อกระดูกหลัง จากรูปจะพบว่าข้อนิ้วผิดรูป และข้อบวม อาการตามข้อต่างๆ
- ข้อมือโดยเฉพาะข้อนิ้วเป็นข้อปลายนิ้วทำให้เกิดตุ่มที่เรียกว่าHeberden nodes มักจะมีประวัติในครอบครัวเป็นมากในผู้หญิง ข้อนิ้วที่เป็นจะใหญ
- ข้อเข่า
- ข้อสะโพก
- กระดูกสันหลัง
📲ยินดีให้คำปรึกษา(ฟรี) 086-366-0842
ศูนย์ดูแลโรคเข่าเสื่อม เก๊าส์
กระดูกทับเส้นประสาท
ชนิดข้อเสื่อม
1. ข้อเสื่อมปฐมภูมิ (primary osteoarthritis) หมายถึง โรคข้อเสื่อมที่เกิดขึ้นเองโดยไม่เกี่ยวข้องกับสาเหตุอื่นๆ มักพบในผู้สูงอายุ และมักพบเป็นข้อเสื่อมบริเวณเฉพาะแห่งที่มีลักษณะข้อใหญ่ เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก และข้อกระดูกสันหลัง หรืออาจพบในบริเวณที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 แห่ง ขึ้นไป เช่น บริเวณข้อนิ้วมือส่วนต้น และส่วนปลาย เป็นต้น
1. ข้อเสื่อมปฐมภูมิ (primary osteoarthritis) หมายถึง โรคข้อเสื่อมที่เกิดขึ้นเองโดยไม่เกี่ยวข้องกับสาเหตุอื่นๆ มักพบในผู้สูงอายุ และมักพบเป็นข้อเสื่อมบริเวณเฉพาะแห่งที่มีลักษณะข้อใหญ่ เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก และข้อกระดูกสันหลัง หรืออาจพบในบริเวณที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 แห่ง ขึ้นไป เช่น บริเวณข้อนิ้วมือส่วนต้น และส่วนปลาย เป็นต้น
2. ข้อเสื่อมทุติยภูมิ (secondary osteoarthritis) หมายถึง โรคข้อเสื่อมที่เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นๆเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้น เช่น การเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการหักของผิวกระดูกข้อ มีภาวะข้อหลุด เกิดการทำลายไขกระดูกข้อ เกิดการตายของหัวกระดูก และการติดเชื้อภายในข้อ รวมไปถึงความผิดปกติของข้อตั้งแต่กำเนิด การเกิดข้ออักเสบต่างๆ และการเกิดโรคในระบบต่อมไร่ท่อ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดโรคกระดูกเสื่อมตามมาได้
โรคข้อเสื่อม นอกจากจะมีสาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของผิวกระดูกอ่อนตามวัยแล้วยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมให้มีการเสื่อมสภาพที่เร็วขึ้นกว่าปกติหรือมีอาการที่รุนแรงขึ้น ได้แก่
1. อายุ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคข้อเสื่อม โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 85 จากผู้ป่วยทั้งหมด พบว่า อายุมีความสัมพันธ์เป็นอย่างมากกับการเปลี่ยนแปลงเซลล์กระดูกอ่อน ผู้ที่มีอายุมากมักพบอัตราการสร้าง และซ่อมแซมเซลล์น้อยกว่าอัตราการสลาย และการเสื่อมของเซลล์ เป็นผลทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมตามมา
2. เชื้อชาติ พบว่า ชนชาติที่มักเป็นโรคอ้วนหรือมีร่างกายใหญ่โต น้ำหนักมากมีผลต่อการเสื่อมของผิวหุ้มกระดูกที่เร็วกว่าคนผอม นอกจากนั้น
3. อาชีพ พบว่า อาชีพที่ยกของหนักหรือใช้งานอวัยวะบริเวณข้อต่างๆมีโอกาสสูงที่เกิดจะเกิดภาวะข้อเสื่อที่เร็วขึ้น
4. กรรมพันธุ์ โดยยีนของเพศหญิงที่มีผลต่อการเสื่อมของข้อกระดูกทำให้เพศหญิงมีโอกาสเกิดโรคข้อเสื่อมมากกว่าเพศชาย
5. น้ำหนักร่างกาย ผู้ที่มีอายุมากขึ้นมักพบมีน้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะเพศหญิงเมื่อหมดวัยประจำเดือน น้ำหนักที่มากขึ้นจะมีผลต่อการกดทับ และเพิ่มแรงกดบริเวณกระดูกอ่อนหุ้มข้อต่างๆทำให้เกิดการเสื่อมของข้อได้เร็ว
6. ความหนาแน่นของกระดูก พบว่าความหนาแน่นของกระดูกที่น้อยมีความสัมพันธ์กับโรคข้อเสื่อมที่ทำให้เกิดแรงเครียดที่ผิวกระดูกอ่อนหุ้มข้อ
7. ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งฮอร์โมนนี้มีส่วนช่วยป้องกันการเสื่อของผิวกระดูกอ่อน หากฮอร์โมนมีปริมาณลดลงหรือมีน้อยจะทำให้เพิ่มอัตราการเสื่อมของผิวกระดูกอ่อนที่เร็วขึ้น
8. พฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะพฤติกรรมที่มีการเคลื่อนไหวของข้อกระดูกที่มาก รวมถึงพฤติกรรมการหักนิ้ว หักข้อเวลาปวดหรือเพื่อทำให้เกิดเสียงดังมีส่วนทำให้เร่งการเสื่อมของผิวกระดูกอ่อนหุ้มข้อที่เร็วขึ้น
9. การประสบอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการประสบอุบัติเหตุบริเวณข้อ เช่น ข้อเข่าหลุด ข้อมือหัก เป็นต้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหุ้มกระดูกอ่อนถูกทำลายอย่างรุนแรงมีผลทำให้เกิดการเสื่อมที่ข้อที่เร็วขึ้น
รับคำปรึกษา พร้อมเงื่อนไขพิเศษได้ที่นี้
อาการของโรค
1. อาการเจ็บปวด ในระยะแรกของการเสื่อมของข้อผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเล็กน้อย และอาการจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามวัย โดยเฉพาะเวลาที่มีการเคลื่อนไหวของข้อเป็นเวลานาน อาการปวดนี้จะบรรเทาลงเมื่อหยุดการเคลื่อนไหว ลักษณะจะเป็นๆหายๆ นอกจากนี้ อาการปวดมักมีส่วนมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย
2. อาการข้อติด และตึงที่ข้อ อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมีผลต่อการเคลื่อนไหวที่น้อยลง ร่วมกับความหนาของกระดูก และการผิดรูปของข้อจนทำให้เกิดอาการข้อติดแข็ง อาการนี้จะพบมากหลังจากการตื่นนอนเนื่องจากไม่มีการเคลื่อนไหวของข้อเป็นเวลานาน ทั้งนี้ อาการข้อติดแข็งจะเกิดในเวลาสั้นๆ ประมาณน้อยกว่า 1 ชั่วโมง เรียกภาวะนี้ว่า ปรากฏการณ์ติดแข็ง (Gelling หรือ Gel phenomenon)
3. อาการเสียงดังของข้อ (Crepitation) เซลล์กระดูกที่งอกขึ้นมาใหม่ที่มีลักษณะไม่เรียบ มีผิวขรุขระ เมื่อเคลื่อนไหวจะทำให้เกิดการเสียดสีของผิวกระดูกเหล่านี้ ซึ่งมักจะได้ยินเสียงเมื่อมีการเคลื่อนไหวดังกรอบแกรบ และรู้สึกว่าข้อมีการเสียดสีกัน
4. อาการบวมที่ข้อ (Joint edema) ในระยะแรกจะไม่พบอาการบวมที่รุนแรง อาการบวมมักเกิดหลังจากการทำงานหนักหรือการรับน้ำหนักมากบริเวณข้อ และจะทุเลาลงเมื่อข้อไม่ได้รับภาระ อาการบวมนี้จะเกิดจากการหนาตัวของเซลล์กระดูกอ่อนที่ข้อที่เกิดขึ้นมาใหม่ และลุกลามเชื่อมติดกับเอ็นรอบๆข้อ รวมถึงการอักเสบของข้อร่วมด้วย
5. ภาวะน้ำท่วมข้อ (Joint effusion) ที่เกิดจากการเสื่อมของกระดูกในระยะเวลานานจนทำให้เซลล์กระดูกแตกตกค้างในช่องว่างระหว่างข้อจนทำให้เกิดการอักเสบของข้อตามมาพร้อมกับมีการสร้างน้ำไขข้อในปริมาณที่มากขึ้นจนทำให้มีอาการบวมอักเสบบริเวณข้อตามมา
6. อาการผิดรูปของข้อ (defromity) เป็นอาการที่เกิดในระยะสุดท้ายของโรค การผิดรูปของข้อนี้จะเกิดจากความหนาแน่น และการขยายตัวของกระดูกใต้กระดูกอ่อน ร่วมกับการดึงรั้ง และการหดตัวของเยื่อหุ้มข้อ ทำให้เกิดความผิดปกติของข้อตามมา เช่น ข้อขยายใหญ่ เป็นต้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น